วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

ความแตกต่างของจุดมุ่งหมายในการจัดการการเงินในองค์กรและการจัดการการเงินส่วนบุคคล

ความแตกต่างของจุดมุ่งหมายในการจัดการการเงินในองค์กรและการจัดการการเงินส่วนบุคคล คือ จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้ผู้ถือหุ้น โดยการทำให้มูลค่าของธุรกิจสูงที่สุด ซึ่งมูลค่าของธุรกิจได้จากราคาหุ้นสามัญในตลาดและเงินปันผลที่สูงที่สุด ปัจจัยที่ทำให้มูลค่าของหุ้นสามัญในท้องตลาดสูงที่สุดมี 2 ปัจจัย
1. เงินปันผล เมื่อจ่ายเงินปันผลมากเท่าไรราคาของหุ้นสามัญก็จะสูงขึ้นเท่านั้น
2. ความเสี่ยง คือโอกาสที่จะสูญเสียบางอย่าง ในทางการเงินจะพิจารณาความเสี่ยงได้จาก ความปลอดภัยของเงินลงทุนกับอัตราผลตอบแทน ถ้าความปลอดภัยของเงินลงทุนน้อย แสดงว่ามีความเสี่ยงสูง เมื่อมีความเสี่ยงสูง อัตราผลตอบแทนต้องสูง ตามหลักการของ Trade off (High Risk High return) ในทางตรงกันข้าม ถ้าความปลอดภัยมาก ความเสี่ยงก็จะน้อย ผลตอบแทนก็จะน้อย ส่วนการจัดการการเงิน ส่วนบุคคลอย่างมีระบบ ทั้งด้านการวางแผนการเงิน การออม และการลงทุน เพื่อต่อยอดเงินให้งอกเงย เป็นทักษะชีวิตด้านการจัดการการเงินส่วนบุคคล โดยผู้เรียนสามารถศึกษาและ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่สนุกสนาน พร้อมด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพทางการเงินที่ดีต่อไป

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ความสำคัญในการบริหารทางด้านการเงินทั้งภาครัฐและเอกชน

ความสำคัญของการบริหารจัดการทางการเงินที่มีต่อองค์กรนั้นมีความสำคัญมาก เพราะว่าการจัดการบริหารการเงินนั้นเป็นปัจจัยหลักทางการบริหารขององค์การไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชน ขึ้นอยู่กับว่าภาคใดจะมีการจัดการที่ดีกว่ากันและสามารถดำเนินกิจการนั้นเจริญเติบโตและสามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดของกินการนั้นๆได้เป็นอย่างดี
ถ้าจะกล่าวถึงทางภาครัฐแล้วจะต้องมีการบริหารการเงินที่ดี เพราะว่าการลงทุนในภาครัฐนั้นอาจจะมีการได้กำไรหรือผลตอบแทรที่น้อยเพราะว่าเป็นกิจการที่มีการลงทุนน้อย และส่วนมากจะมีแต่ภาครัฐบาลเองที่มาบิหารส่วนเอกชนจะเข้ามาแทรกแซงได้น้อยทำให้ภาครัฐต้องมีการบริหารทางด้านการเงินที่มีอยู่อย่างพอเพียงได้ ส่วนภาคเอกชนนั้นจะต้องมีการบริหารที่ดีมากกว่าและมีประสิทธิภาพ เพราะว่าภาคเอกชนนั้นมีการลงทุนที่สูงและต้องการผลกำไรเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการจัดการทางด้านการเงินที่ดีพอ แต่ถ้าความสำคัญจริงๆทั้งๆ2ภาค จะมีความสำคัญที่เท่าเทียมกัน

Agency Problem

“Principal-Agent Problem” คือ “ปัญหาอันเกิดจากจุดมุ่งหมายในการทำงานที่ต่างกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง” จุดมุ่งหมายของนายจ้างคือ “ผลประโยชน์” ของบริษัทอันหมายถึงผลกำไรและความเจริญเติบโตใดๆก็ตามที่บริษัทพึงมี ส่วนจุดประสงค์ของลูกจ้างนั้นคือ “ผลประโยชน์ของตัวเอง” อันคงมิใช่อะไรนอกไปเสียจาก “เงินเดือน” หรือ “ผลประโยชน์อันไม่อยู่ในรูปตัวเงิน” ต่างๆ อาทิเช่น ความสบายใจในการทำงานอันเกิดจากการอู้งานในขณะที่ยังได้รับเงินเดือนเท่าเดิม หรืออาจจะเป็นผลประโยชน์นอกลู่ใดๆอันอาจหามาได้จากการซิกแซ็กในการทำงาน

CFO

CFO – Chief Financial Officer เป็นผู้บริหารสูงสุดทางด้านการเงินของบริษัท หน้าที่คือรับผิดชอบในเรื่องของการดูแล รับผิดชอบ และตัดสินใจในเรื่องของบัญชีและการเงินของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเรื่องรายงานต่างๆ การดูแลเรื่องระบบบัญชี การดูแลด้านการเงินทุกอย่างตั้งแต่การหาแหล่งเงินทุน การใช้จ่ายเงิน การดูแลด้านงบประมาณ หรือ การนำเงินไปลงทุน ฯลฯ
1.ต้องเข้าใจว่าองค์กรจะทำอะไร
2.ให้แน่ใจว่ามีการประเมินอย่างมีความหมายในตัวเลขต่าง ๆจะได้จัดการทรัพยากรทางการเงินได้(Resource Allocation)
3.สื่อความกันตลอดเวลาให้เห็นภาพเครื่องที่เลือกใช้และติดตามงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไปไม่ถึงเป้า

Social Responsibility

การดำเนินงานที่รับผิดชอบต่อสังคม(Corporate Social Responsibility หรือ CSR) ซึ่งหมายถึง การมีนโยบายพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างประโยชน์ให้กับสังคมโดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน ควบคู่ไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “องค์กรควรมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ พัฒนา และ มุ่งไปที่การสร้างให้องค์กรมีความ “ดี” ที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนของกิจการและคืนกำไรให้แก่สังคม
และองค์กรต่างๆที่มีจิตสำนึกต่อสังคมจะมีแนวทางการดำเนินงานที่คำนึงถึงพนักงาน / สิ่งแวดล้อม และชุมชน เป็นหลัก ISO 26000 เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่มีการบังคับทางกฎหมายว่าทุกองค์กรต้องมีระบบมาตรฐานนี้ แต่หากองค์กรใดมีจิตสำนึกและปฏิบัติสอดคล้องกับแนวทาง ISO 26000 ก็จะเป็นที่ยอมรับและมีผลต่อภาพลักษณ์ ของการเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

Conflict of Interest

Conflict of Interests หรือที่ในภาษาไทยใช้ว่า ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนร่วมหรือที่นักวิชาการบางคนใช้คำว่า ความทับซ้อนกันของผลประโยชน์หรือความขัดแย้งกันของผลประโยชน์นั้น สามารถมองได้ใน 2 ระดับ คือ
1. ระดับนโยบายหรือระดับมหภาค ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีส่วนในการกำหนดนโยบายในด้านต่างๆของประเทศ เช่น นโยบายด้านพลังงาน และนโยบายด้านการสื่อสาร เป็นต้น ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในขอบข่ายของความขัดแย้งกันฯในระดับนี้จึงได้แก่นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง กลุ่มธุรกิจ(การเมือง) และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ เป็นต้น
2. ระดับปฏิบัติการ ซึ่งเป็นปัญหาความขัดแย้งกันฯ ในระดับบุคคล คือ ในตัวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐรวมถึงกลุ่มวิชาชีพต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อ Conflict of Interests เช่น วิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บรายได้/ภาษีวิชาชีพเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น

ตราสารทุน


ตราสารทุน (Equity Instruments) หมายถึง ตราสารที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือ เพื่อแสดงสิทธิของความเป็นเจ้าของในกิจการนั้น ประเภทของตราสารทุนได้แก่
1. หุ้นสามัญ (Common Stocks หรือ Ordinary Shares) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการ และเมื่อกิจการมีกำไรจากการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลในอัตราที่จัดสรรโดยที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยคำนวณตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ถือครอง ทั้งนี้ เงินปันผลอาจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปีของกิจการ
2. หุ้นบุริมสิทธิ์ (Preferred Stocks) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการที่มีการจดบุริมสิทธิ์ไว้อย่างชัดเจนไม่สามารถยกเลิกได้ เมื่อกิจการมีกำไรจากการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่ตามที่จดบุริมสิทธิ์ไว้ อาจจะมากหรือน้อยกว่าผู้ถือหุ้นสามัญก็ได้ แต่หากกิจการนั้นต้องเลิกดำเนินการและมีการชำระบัญชีโดยการขายทรัพย์สิน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินคืนทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
3. ใบสำคัญแสดงสิทธิในหุ้น (Stock Warrants) คือ ตราสารสิทธิที่กิจการออกให้แก่ผู้ลงทุน เพื่อให้สิทธิในการซื้อหุ้นออกใหม่ในราคา จำนวน และภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ลงทุนจะมีสิทธิในความเป็นเจ้าของกิจการก็ต่อเมื่อได้ใช้สิทธิในการซื้อหุ้นของกิจการนั้นแล้วเท่านั้น
หน่วยลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน คือ ตราสารสิทธิในการเป็นเจ้าของหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนเน้นการลงทุนในตราสารทุน ผู้ลงทุนจะมีสิทธิในความเป็นเจ้าของกิจการที่กองทุนรวมนั้นลงทุนไว้ ตามสิทธิที่เฉลี่ยระหว่างผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งหมดในกองทุนรวมนั้นนั่นเอง
4. ตราสารแสดงสิทธิในอนุพันธ์ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้น (Stock Options & Futures) คือ สัญญาที่ผู้ลงทุนสองฝ่ายตกลงกันเพื่อซื้อหรือขายหุ้นในราคา จำนวน และภายในระยะเวลาที่กำหนด

ตราสารหนี้

ตราสารหนี้ คือ ตราสารทางการเงินที่แสดงความเป็นหนี้ระหว่างกัน โดยลักษณะของการเป็นตราสารเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนมือได้กล่าวอีกนัยหนึ่งตราสารหนี้ก็คือ การกู้ยืมเงินชนิดหนึ่งที่มีความเป็นมาตรฐาน ผู้ออกตราสารเป็นผู้กู้หรือลูกหนี้ ในขณะที่ผู้ให้กู้เป็นผู้ซื้อหรือเจ้าหนี้ โดยทั้งสองฝ่ายมีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะได้รับชำระเงินหรือผลประโยชน์อื่นใด เช่น ดอกเบี้ย เงินต้น ตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ตราสารหนี้มีคุณสมบัติที่สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยๆที่เท่าๆกันโดยได้ผลประโยชน์หรืออัตราผลตอบแทนเท่ากันทุกหน่วย และมีคุณสมบัติที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้จนกว่าจะหมดอายุของตราสารนั้นสำหรับการเรียกชื่อตราสารหนี้ มีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยทั่วไปในต่างประเทศใช้คำว่า Bond สำหรับตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน(Secured bond) และใช้คำว่า Debenture สำหรับตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน(Unsecured bond) สำหรับในประเทศไทยนิยมเรียกตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐว่า พันธบัตร(Bond) ส่วนตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชนจะเรียกว่า หุ้นกู้(Debenture)